กำลังแสดงโพสต์จาก ตุลาคม, 2014

บทความ

หลายต่อหลายคนรู้ดีว่าความสำเร็จของนักลงทุนหรือนักเก็งกำไรระดับโลกส่วนใหญ่ล้วนเกิดขึ้นจากผลของการ “ทบต้น” แทบทั้งสิ้น แต่พวกเขามักไม่รู้ว่าการทบต้นนั้นย่อมต้องมีต้นทุนของมันอยู่ และนี่คือสิ่งที่คุณจำเป็นต้องมีเพื่อดึงเอาพลังของการทบต้นออกมา 1. ระบบการลงทุนที่มีความเสถียรและมีประสิทธิภาพ น่าเสียดายที่หลายๆคนที่หลงไหลในสมการทบต้นนั้นไม่รุ้ว่าสิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเขาอย่างแรกเลยก็คือระบบการลงทุนหรือแนวทางในการลงทุนที่มีความเสถียร (Robust) … ระบบการลงทุนเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องสัญญาว่าจะทำให้คุณลงทุนถูกที่ถูกทางอยู่ตลอดเวลาหรือมีกำไรเป็น XXX% เท่าภายในเวลาไม่กี่วันหรือไม่กี่เดือน (ซึ่งอันที่จริงแล้วพวกมันมักถูกสร้างมาเพื่อทำการตลาดในการขายระบบ โดย Curve Fit ระบบกับฐานข้อมูลในอดีตจนมากเกินไปแทบทั้งนั้น) ความสม่ำเสมอของการเติบโตต่างหากที่เป็นหัวใจในการทบต้น ในระยะยาวแล้วระบบการลงทุนที่อึดที่สุดและเสถียรที่สุดคือสิ่งที่มีค่ายิ่งกว่าทองสำหรับคุณ 2. เวลา แม้การเติบโตของเงินทุนแบบทบต้นไปเรื่อยๆนั้นอาจไม่ต้องการผลตอบแทนที่หวือหวามากๆแต่มันกลับต้องการช่วงเวลาที่ยาวนานในการบ่มเพาะ หลายๆคนเมื่อ
-หลายท่านคงสงสัยว่าทำไมเปิดออเดอร์ต้องติดลบตลอด ยิ่งLotเยอะยิ่งลบเยอะ -ทำไมตั้งTP แล้วราคาไปเคลื่อนที่ไปยังตำแหน่งนั้นแล้วไม่ปิดให้เรา -ทำไมตั้งSL ยังไม่ทันจะโดน ก็ปิดให้ก่อนเลย เหตุการณ์ที่กล่าวมานั้น เกิดมาจาก ค่าBid และ ค่าAsk โดยทั่วไปแล้ว เราจะเห็นเฉพาะค่า Bid แต่สามารถเรียกเส้นแสดงค่า Ask ออกมาได้โดย จะเห็นเส้น Ask เส้นสีแดงแสดงออกมา เมื่อเราเห็นทั้งสองเส้นคือทั้ง ค่าBid และ ค่า Ask ต่อไปเราจะมาดูกันว่า ทั้งสองเส้นมีความหมายและที่มายังไง “Bid” คือ ราคาที่ โบรกเกอร์กำลังจะซื้อ Base Currency ในการแลกเปลี่ยนสำหรับ Quote Currency แบบนี้หมายความว่า Bid ก็คือราคาที่คุณจะขาย  sell - “Ask” คือ ราคาที่ โบรกเกอร์กำลังจะขาย Base Currency ในการแลกเปลี่ยนเพื่อให้ได้ Quote Currency แบบนี้หมายความว่า Ask คือราคาที่คุณจะซื้อ  Buy Bid และ ค่า Ask จะมีเงื่อนไข คือ  Bid  จะต่ำกว่าราคา  Ask  เสมอ  เกิดเป็นช่องระยะห่างราคาและช่องระยะห่างจากราคา ค่า Bid และ ค่า Ask  นั้นเรียกว่า  “Spread”  นั้นเอง   “Spread” จะขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์นั้นๆว่าจะมีเงื่
ผมเชื่อว่าผู้เทรดหลาย ๆ คนต้องเคยอ่านหรือเรียนเรื่องแท่งเทียนกันมากแล้ว และ รูปแบบยอดฮิตที่ทุกคนจะชอบกันมากที่สุดก็จะมี Hammer หรือ Shooting Star เป็น 1 ใน 3 อันดับต้น ๆ ของผู้เทรด ด้วยลักษณะที่ดูง่าย มีแท่งเดียว แสดงให้เห็นถึงแรงของฝั่งตรงข้ามได้อย่างชัดเจน ผู้เทรดส่วนมากเมื่อเห็นสัญญาณนี้เกิดขึ้นก็แทบจะใส่ออเดอร์ไม่เลี้ยงกันเลยทีเดียว  แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น  !!!!  บางคนเข้าออเดอร์ที่ hammer หรือ shooting star แล้วแต่ราคากลับทะลุ high หรือ low ของ hammer ไปหน้าตาเฉย ทำให้เจ็บช้ำน้ำใจกันเป็นแถบ ๆ ตกลงแล้ว Hammer, Shooting Star  เชื่อถือได้หรือไม่ได้? คำตอบคือเชื่อถือได้ครับ Hammer และ Shooting Star เป็นรูปแบบการกลับตัวของราคาอย่างที่ทุกคนเข้าใจไม่ผิด แต่สิ่งที่ผู้เทรดอาจจะไม่ทราบก็คือ  บริเวณที่  Hammer  หรือ Shooting Star  ปรากฎก็มีความสำคัญไม่แพ้รูปแบบของแท่งเทียน บริเวณไหนบ้างละที่เชื่อถือได้สำหรับ Hammer  หรือ Shooting Star? สำหรับเดย์เทรดแล้วผู้เทรดควรจะสนใจกราฟเวลาที่กราฟอยู่บริเวณ -           จุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดของเมื่อวาน (Swing High/Swing Low ของเมื่
ส่วนประกอบของแท่งเทียนประกอบไปด้วย จุดเปิด จุดปิด จุงต่ำสุด และ จุดสูงสุด บริเวณที่เป็นขีด ๆ บาง ๆ บนแท่งเทียนเราจะเรียกมันว่า Shadow หรือ หาง หรือ ไส้ แล้วแต่ใครจะถนัดเรียก ส่วนตัวของแท่งเทียนเราจะเรียกว่า Body  สิ่งที่ทำให้แท่งเทียนแต่ละแท่งมีความต่างกันออกไปคือ  “ ระยะห่างระหว่างจุดเปิดและจุดปิดของแท่งเทียน”  ยิ่งจุดปิดอยู่ไกลจากจุดเปิดแท่งไหร่ ก็แสดงว่ากราฟมีแรงมากเท่านั้นหากจุดเปิดอยู่ต่ำกว่าจุดปิดแท่งเทียนแท่งนั้นจะกหลายเป็นแท่งเทียนขาขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าจุดปิดอยู่ต่ำกว่าจุดเปิดแท่งเทียน แท่งนั้นจะเป็นแท่งเทียนขาลง แล้วมันสำคัญอย่างไรในเมื่อแท่งเทียนแท่งไหน ๆ ก็เหมือนกัน? บางคนอาจจะไม่ทันสังเกตว่า การเรียงตัวกันของ จุดปิด (Close) จุดสูงสุด (High) จุดต่ำสุด (Low) สามารถบอกผู้เทรดถึงภาวะและอารมณ์ของตลาดได้โดยไม่จำเป็นต้องรอดูอินดิเคเตอร์แล้วค่อยบอกว่ากราฟเป็นเทรนหรือไม่  ยกตัวอย่างเช่น ในตลาดขาขึ้น ลักษณะของขาขึ้นที่ดี  จุดปิด (Close) จุดสูงสุด (High) จุดต่ำสุด (Low) ของแท่งเทียนควรจะเรียงตัวกันขึ้นไปเรื่อย ๆ จุดสูงสุดของแท่งเทียนปัจจุบันควรจะทะลุจุดสูงสุดของแท
ผมเชื่อว่าหลายคนเข้ามาในตลาดแห่งด้วยสายตาที่คิดว่าตลาดแห่งนี้จะมีเงินทองไหลมาเทมา บางคนฝันว่าตัวเองจะได้มีรถสปอร์ตหรูขับ แต่ในความเป็นจริงแล้วมีเทรดเดอร์น้อยคนมากที่สามารถไปถึงจุดนั้นได้จริง ๆ แล้วความเป็นจริงคืออะไรละ? สิ่งที่เป็นไปได้ในโลกแห่งความเป็นจริงสำหรับการเทรด มันขึ้นอยู่กับว่าคุณมีทุนเท่าไหร่ในการอยู่ในตลาดแห่งนี้คุณเอาเงินเข้ามาในตลาดเท่าไหร่คุณก็จะได้ออกไปในจำนวนประมาณนั้นละครับ มันต่างกันมากเลยระหว่างคนที่เข้ามาในตลาดด้วยเงิน 1000$ กับคนที่เอาเข้ามาด้วยจำนวนเงิน 100, 000$ หากเทียบกันแล้วคนที่มีโอกาสจะได้ในชีวิตเทรดเดอร์ชิว ๆ ก็ต้องเป็นคนที่มีทุนมากกว่าใช่ไหมละครับ มันเป็นการคำนวณตัวเลขง่าย ๆ เลย ยิ่งมีเงินในบัญชีมากเท่าไหร่นั่นก็หมายความว่าคน ๆ นั้นก็ไม่ต้องเทรดอะไรมากก็สามารถเทรดไปวัน ๆได้อย่างสบายใจและสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยการเทรดจริง ๆ ได้ คุณล้อผมเล่นรึเปล่า? เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้หลาย ๆ คนจะมีคำถามทันทีเลยว่า “งั้นก็ออกจากงานที่ทำเลยดิแล้วทุ่มเงินสัก 10000$ มาลงกับ Forex เลย” งั้นลองมาดูตัวอย่างข้างล่างนี้ครับ ตัวอย่าง สมมุติว่าคุณต้องการเงิน 5000
Financial Leverage (FL) แปลตรงตัว คือ การงัดเพื่อให้เกิดแรงมากขึ้นทางการเงิน ในการลงทุนในตลาด Forex ก็คือการที่เรายืมเงินทุนจากโบรคเกอร์ไปลงทุน เพื่อก่อให้เกิดกำไรเพิ่มมากขึ้น โดยปกติค่า Leverage นั้นจะกำหนดโดยโบรคเกอร์ และระบุเป็นสัดส่วนซึ่งก็คือสัดส่วน การลงทุนโดยใช้ทุนของเรา เทียบกับการลงทุนจริงในตลาดโดยยืมทุนจากโบรคเกอร์ ฟังแล้วก็อาจจะงง ๆ มาดูตัวอย่างกันดีกว่าครับ ตัวอย่างแรกกรณีซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์บ้านเราธรรมดา Leverage คือ 1:1 นั้นคือ เราเอาเงินทุนของเราล้วนๆ ไปซื้อหุ้นจริงๆ ธรรมดา หุ้นมีมูลค่าเท่าไหร่ ก็จ่ายจริง ซื้อจริงตามนั้น กำไร หรือขาดทุน ก็คิดจากผลต่างราคาซื้อ กับราคาขาย ตรง ๆ ธรรมดา ตัวอย่างที่ 2 ลงทุนในตลาด Forex กับโบรคเกอร์ที่ให้อัตราส่วน Leverage 1:100 (แต่ละโบรคเกอร์อาจให้สัดส่วน Leverage ที่แตกต่างกันไป) นั้นหมายความว่า เราใช้เงินทุนของเราเพียงแค่ 1 หน่วย แต่ทำการสั่งซื้อขายในตลาด 100 หน่วย โดยกำไร หรือขาดทุนที่ได้ นั้นก็คิดจาก 100 หน่วยนั้นที่เรายืมโบรคเกอร์ไปลงทุน เช่น เราใช้เงินทุนของเรา 1 USD ซื้อ THB ในขณะที่อัตราแลกเปลี่ยน 34.00 บาท ต่อ 1 ดอลลาห์ี่ Lev
ตลาด forex นั้นได้เปิดกว้างให้บุคคลทั่วไปได้เเข้ามาทำการซื้อขายได้ เกือบ 10 ปีแล้ว ในสมัยก่อน ตลาด forex เข้าถึงได้เฉพาะสถาบันทางการเงินขนาดใหญ่ เช่น ธนาคาร, บริษัทขนาดใหญ่ องค์กร ระดับประเทศ ปัจจุบันนี้ ตลาด forex ได้เปิดกว้างให้บุคคลทั่วไปได้เข้ามาทำการซื้อขายได้ และเป็นประเด็นร้อน ซึ่งทำให้นักลงทุนหลายคนจับตามอง และอยากเรียนรู้มัน forex คืออะไร? forex เป็นคำย่อของ Foreign Exchange การเทรด forex ก็คือการซื้อขาย สกุลเงินต่าง ๆ ทั่วโลก ในตลาด forex ซึ่งเป็นตลาดทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยปกติปริมาณการซื้อขายต่อวันของตลาด forex นั้นสุงเป็นล้านล้าน USD  ตลาด forex เปิดทำการ 24 ชม ตลอดวัน นั้นทำให้ forex เป็นตลาดที่ทำการซื้อขายได้ลื้นไหลที่สุดในโลก การเทรดของวันจะเริ่มต้นที่ตลาด ซิดนี้ และจบที่ ตลาด นิวยอร์ค, การเทรด forex นั้นไม่มีศูนย์กลางอยู่ในที่ไดที่หนึ่ง นั้นหมายความว่า คุณสามารถเทรด forex จากที่ไหนก็ได้ที่คุณต้องการ และไม่จำกัดเวลา ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบอย่างยิ่งสำหรับผู้เทรด การเทรด forex นั้น จำเป็นต้องเทรดเป็นคู่ เมื่อคุณซื้อเงิน สกุลเงินหนึ่ง นั้นหมายถึง คุณกำลังขายสกุ
ตลาด forex ได้เปิดกว้างสำหรับบุคคลทั่วไป มาหลายปีแล้ว, มีนักลงทุนจำนวนมากเข้ามาในลงทุนในตลาดเพิ่มขึ้น ทุก ๆ เดือน โดยแต่ละคนก็หวังที่จะเข้ามาทำกำไร และเป็นเศรษฐี จากตลาด forex แต่ผลที่ได้ของนักลงทุนแต่ละคนนั้น ก็แตกต่างกันไป การเทรดสำหรับ ผู้เริ่มต้น นั้น ไม่ได้เป็นสิ่งที่ซับซ้อนเลย ในความเป็นจริง คุณอาจจะช๊อกก็ได้ เมื่อผมจะบอกว่า นักลงทุนบางคนที่ผมรู้จัก ได้เข้ามาลงทุนในตลาด forex จนกลายเป็นเศรษฐี! สิ่งแรกที่คุณ ควรจะเริ่ม นั้นคือ ขอเปิดพอร์ต forex แบบออนไลน์ จากนั้นคุณจะสามารถเข้าไปเทรดจากที่ไหนของโลกก็ได้ อย่าเพิ่งเลือกโบรคเกอร์แรกที่คุณพบ หาตัวเลือกจากหลายๆที่ แล้วลองชั่งน้ำหนัก ข้อดี ข้อเสีย ของแต่ละที่ ก่อนจะตัดสินใจ โดยทัวไปแล้ว โบรคเกอร์ส่วนใหญ่ อนุญาติเปิดบัญชีขนาดเล็ก ซื้งนั้นเหมาะสมที่สุดสำหรับผู้เริ่มต้น คุณสามารถฝากเงิน โดยใช้เงินเพียงแค่ $100 สำหรับการเริ่มต้น ด้วยระบบ Leverage ซึ่งจะทำให้คุณเปรียบเสมือนมีทุนในการลงทุนมากขึ้นอย่างน้อย 100 เท่า ของทุนจริงที่คุณมี นั้นก็คือ คุณสามารถควบคุมทุน $10,000 จากเงินทุนจริง $100 ของคุณได้ แต่ละโบรคเกอร์ จะมีโปรแกรมซึ่งแสดงก
โบรคเกอร์ forex หลายโบรคเกอร์ ได้โฆษณาว่าฟรีค่าคอมมิสชัน (Commission) แต่จริงๆ แล้วมันเป็นยังไง?  อันที่จริงการเทรด forex นั้นต้องเสียค่าใช้จ่าย (จะเรียกว่าค่าคอมมิสชัน หรือไม่ก็ตาม) ถือว่าสูงมาก เมื่อเทียบกับการซื้อขาย หุ้น หรือกองทุนในบ้านเราซึ่งมีค่าคอมมิสชันจะอยู่ที่ประมาณ 0.2% ของมูลค่าที่ทำการเทรด ดังนั้นการที่โบรคเกอร์ forex ส่วนใหญ่ ทำการตลาดโดยอ้างว่า ฟรีค่าคอมมิสชัน ที่จริงแล้วมันไม่จริงทั้งหมด และอาจทำให้เข้าใจผิดได้ ในตลาด forex นั้น คล้าย กับตลาดอื่น ๆ นั้นคือมีการตั้งซื้อ ( Bid ) และตั้งขาย ( Ask ) ราคาตั้งซื้อคือราคาที่เราสามารถขายได้ในขณะนั้น ส่วนราคาตั้งขายก็คือราคาที่เราสามารถซื้อได้ในขณะนั้น ผลต่าง ระหว่างราคาตั้งซื้อ และตั้งขาย นั้นเรียกว่า Spread ยกตัวอย่าง EUR/USD ราคา Bid ที่1.4156 และ Ask ที่ 1.4159 ดังนั้นค่า Spread ของ EUR/USD จะเท่ากับ 0.0003 หรือ 3 PIPS ถ้าเราทำการเปิด Order ทำการซื้อขณะนั้น เราจะซื้อได้ที่ 1.4159 และ Transaction ของเราจะขึ้นเป็น -3 PIPS ทันที ถ้าเราปิดออร์เดอร์ขณะนั้นโดยอัตราแลกเปลี่ยนยังไม่เปลี่ยนแปลงเราจะขายได้ที่ 1.4156 และขาดท
ระบบนี้ใช้งานง่ายครับ มองสบายตา ใครที่เคยเล่น โบว์ลิงเจอร์แบนด์มาแล้ว ก็ดูไม่ยากครับ ควบคู่กับดูเทรน มูฟวิ่งสวยๆ  เหมาะกับมือใหม่ หัดเล่น หรือ คนที่คิดระบบเทรดเองยังไม่ได้ ก็ลองเอาไปเป็นต้นแบบได้นะครับ ขอให้โชคดี ^_^ ระบบนี้ใช้งานใน TF 30 TF 1 ชั่วโมง มี 2 ระบบ ที่ต้องดูควบคู่ 2 ทามเฟรมนี้ ระบบนี้ ขอไม่อธิบายมากนะครับ ให้ผู้สนใจ เอาไปลองเองได้เลยนะครับ ดาวโหลดลิงค์ล้างนี้นะครับ Free Download
กระทรวงแรง งาน สหรัฐ เผย อัตราตัวเลขคนว่างงานในอเมริกา ลดลงแตะระดับต่ำสุดรอบ 6 ปี ส่งสัญญาณการฟื้นตัวของภาคแรงงาน สำนัก ข่าว บลูมเบิร์ก รายงานจากการเปิดเผยของกระทรวงต่างประเทศ สหรัฐ ที่เผยว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรเมื่อเดือนที่แล้ว เพิ่มขึ้น 248,000 ตำแหน่งและอัตราคนว่างงานลดลง 0.2 จุด เหลือร้อยละ 5.9 ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฏาคม 2008 ทั้งนี้ข้อมูลดังกล่าวถือว่าดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดหมายไว้พอสมควร โดยมีการจ้างงานมากขึ้นในเดือนกันยายนและอัตราคนว่างงานร่วงลงแตะระดับต่ำสุดรอบ 6 ปี ส่งสัญญาณการฟื้นตัวของภาคแรงงาน เพิ่มความเป็นไปได้ที่ ธนาการกลางสหรัฐ หรือ เฟด จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดหมายไว้ในช่วงกลางปี 2015 รายงานตัวเลขการจ้างงานที่เผยแพร่ในวันศุกร์คือตัววัดภาวะทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดก่อนหน้าศึก เลือกตั้ง สภาครองเกรส ในวันที่ 4 พ.ย.ที่จะถึงนี้    ที่มา news.sanook.com